The Missing ความรู้สึกที่หายไป
หลังจากอ่าน The Missing Year Of Juan Salvatierra ชื่อภาษาไทย ปีที่หายไปของฆวน ซัลบัตเตียร่า เกี่ยวกับลูกชายทั้งสองที่พยายามตามหาภาพวาดที่หายไปของพ่อ คือ ฆวน ซัลบัตเตียร่า ศิลปินใบ้ที่บันทึกเรื่องราวของตัวเองผ่านภาพวาด ซึ่งเขียนโดยเปรโด ไมราล (Pedro Mairal) นักเขียนชาวอาร์เจนตินาจบก็ถึงขั้นต้องเขียนระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ หนังสือเรื่องนี้เป็นวรรกรรมเรื่องสั้นขนาด 118 หน้า ที่แปลเป็นภาษาไทยได้ทั้งหมด 196 หน้า จำนวน 39 ตอน โดยคุณวารยา ศุภศิริ สำนักพิมพ์ Legend Books
บอกตามตรงว่าไม่คิดจะหยิบวรรณกรรมที่ได้รับรางวัลการันตีเล่มมาอ่านแต่สะดุดตาเพราะองค์ประกอบด้านกายภาพรูปเล่มที่เล็กบาง เดิมทีตัวเรานั้นเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ แรกเริ่มอ่านหนังสือมักจะเป็นหนังสือภาพ หนังสือการ์ตูน เราไม่ชอบอ่านตัวอักษรเพราะมันทำให้ง่วง สิ่งที่มีต่อมาคืออยากลองอ่านวรรณกรรมกับเขาดูเพราะคิดว่าคงเท่ดีถ้าเราอ่านประดับความรู้ สุดท้ายคือราคาหนังสือที่ลดจากราคาเต็มจากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ผ่านมา
ไม่มีศรัทธาต่อบทวรรณกรรมต่างชาติมาก่อน แม้เคยคิดที่หยิบจับมาอ่าน
พอขึ้นชื่อว่าวรรณกรรมมักจะพ่วงความยุ่งยากทางภาษาและการตีความ จากประสบการณ์ในการฟังคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนอักษรศาสตร์ จุฬาฯ มักบ่นว่าวรรณกรรมต่างชาติยากอย่างโน้นอย่างนี้ ไหนจะการใช้สำนวน ใช้ภาษาที่เฉพาะเจาะจง หรือจะเป็นเรื่องของการตีความต้องมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการเมือง
โชคดีที่หนังสือเล่มนี้แปลเป็นไทย ทำให้คนภาษาต่างชาติอ่อนแออย่างเราได้เก็บเกี่ยวความรู้ผ่านตัวหนังสือที่ง่ายขึ้น แต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเราได้ลองอ่านในเวอร์ชั่นภาษาต้นเฉพาะและมีความเข้าใจมันจะได้รับรู้รสชาติแบบไหน
"กระดาษคือสถานที่เพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลที่พระผู้เป็นเจ้าเว้นว่างไว้เพื่อเรา" วรรคทองสะกดจิต
คุณพระคุณเจ้า สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะและเกี่ยวมาตลอดทั้งชีวิตอาจจะไม่รู้สึกเนื้อเต้นประหลาดใจเท่าเราก็เป็นได้ สำหรับเราแล้วนี่ราวว่าเป็นการค้นพบทวีปใหม่ของโลก คนอื่นเขาอาจจะค้นพบดาวเพราะมีชั่วโมงการบินที่สูงกว่า หากนี่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆสำหรับคนที่เพิ่งตกหลุมรักตัวหนังสือและเรื่องราวของผู้เขียนหลากหลายมุมโลก
เมื่อก่อนไม่คิดว่าหนังสือหรือการเขียนจะมีอิทธิจนกระทั้งมันขุดหลุมลึกให้เราตกลงไป เพราะคำพูดบางคำจากนักเขียนที่สื่อสารผ่านตัวอักษรมีพลังเหลือคณาจะมาเปรียบเทียบ ทั้งยังช่วยชี้ทางให้แก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
ความประหลาดใจมาพร้อมคำถามที่มีความชิงชังในใจของผู้อ่าน
ตั้งแต่ได้เริ่มหยิบปีที่หายไปของฆวน ซัลบัตเตียร่าขึ้นมา เราเริ่มเปิดตั้งแต่หน้าแรก อ่านตั้งแต่ปกรอง ข้อมูลการพิมพ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 สำหรับฉบับภาษาไทย จนกระทั้งหน้าเกือบท้ายสุดในเรื่องของประวัติผู้เขียน
ที่ต้องอ่านทุกหน้าเป็นเพราะเนื้อหาพาไป เราเปิดอ่านในเวลาประมาณ 20.00 น. ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในสยามระหว่างรอเวลาให้ผ่านไป ในใจตอนนั้นคิดว่าคงอ่านไปสัก 2 - 3 บทก็คงปิดคว่ำหน้าไม่อ่านอีกแล้วเพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลความสนใจ แต่ให้ตายเถอะ พระเจ้าหรือซาตานคงลงคำสาปเอาไว้ เราอ่านมันไปเรื่อยๆ แม้จะหยุดอ่านไปเกือบชั่วโมงเพื่อไปกินมื้อค่ำ เราตั้งใจอ่านด้วยจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น เนื้อเรื่องที่อธิบายอย่างเรียบง่ายไม่ได้สร้างความตื่นเต้น ค่อยจูงเราให้เดินตามเส้นเรื่อง จากตอนแรกมีความเบื่อเล็กๆเสียด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่ามีความตื่นเต้น หัวใจสั่นไหว
เนื้อเรื่องเฉื่อยๆ แต่กลับเอาเราอยู่หมัดได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในตอนนั้นเราคิดแคลงใจว่าอาจเพราะเรามีนิสัยรักสันโดด ชอบความเรียบง่ายเหมือนตัวละครฆวน ซัลบัตเตียร่าหรือเปล่า อาจะมีส่วน แต่ที่แน่ๆคือนักเขียนได้กระชากความคิดบางอย่างของเราแล้ว มันเกิดคำถามขึ้นมากมายหลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบ เกิดความสงสัย และใคร่รู้ว่าแท้จริงแล้วฉันรู้จักตัวละครฆวนคนนี้ดีแค่ไหน ทั้งๆที่คิดว่าได้เรียนรู้นิสัยและจิตวิญญาณเขาไปพร้อมๆกับมิกูเอลลูกชายคนเล็กของเขา แต่ไม่เลย ความรู้สึกของเราแทบไม่ต่างจากมิกูเอล เหมือนเรากลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน มีเพียงฆวนเท่านั้นที่รู้ดี ชายใบ้ที่เก็บทุกอย่างเอาไว้ด้วยความเงียบ
ทำให้รู้สึกคิดถึง 'พ่อ' ของตัวเองขึ้นมา
พ่อเราไม่ใช่คนใบ้เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ปากกัดตีนถีบเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางสภาพสังคมที่โหดร้ายแต่เรากลับไม่เข้าใจพ่อเลย อย่างแรกคือไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรอยู่ อย่างที่สองไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไม่เข้าใจพ่อ และอย่างสุดท้ายทำยังไงถึงจะเข้าใจพ่อ
ยอมรับแต่โดยดีว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนค้อนปอนหนักๆที่ทุบลงบนหัว จากในตอนแรกมีทัศนคติว่าไม่ต้องเข้าใจพ่อก็ได้แค่ทำๆเหมือนที่เขาต้องการให้เป็นแบบส่งๆไปเพื่อความสบายใจ แต่พออ่านปีที่หายไปของฆวน ซัลบัตเตียร่าในพาร์ทที่มิกูเอลพูดถึงการหนีไปจากเมืองและพ่อของเขา สะท้อนผ่านภาพวาดที่พ่อเขาเฝ้ามองดูลูกชายทั้ง 2 คนตลอดเวลาทำให้เราสะอึก แน่นอนว่าเราคิดอยากจะหนีหายไป ไม่อยากรับรู้สิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ หรือจริงๆไม่อยากจะเปลี่ยนความคิดตัวเองกันแน่ หลังอ่านจบเราเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
อยากจะเขียนเรื่องราวของพ่อ อยากรู้จักพ่อ อยากทำความรู้จักกันอีกครั้ง
การเรียนเกี่ยวกับข่าวทำให้เราอยากรู้เรื่องของทุกอย่างบนโลกยกเว้นเรื่องใกล้ตัว เราไม่เคยอยากรู้ว่าพ่อเกิดวันไหน เกิดเวลาใด ช่วงชีวิตวัยเด็กพ่อเป็นแบบไหน และถึงเคยอยากจะรู้แต่ก็ไม่เคยถามเลย น่าขันตรงที่เราพยายามขวนขวายซึ่งให้ได้มาเกี่ยวกับข้อมูลของนางแบบชื่อดัง ของนักร้องที่ชื่นชอบ แต่ไม่เคยเลยที่จะพยายามหาว่าคนใกล้ตัวเป็นอย่างไร หรือเพราะเราคิดว่าเรารู้จักเขาดีพอแล้ว คำตอบคือไม่เลย
ป้า ที่เป็นภรรยาของพี่ชายพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อในตอนเป็นหนุ่มต้องเผชิญกับความลำบากถึงขั้นต้องกินไข่หนึ่งใบแบ่งให้ครบ 3 มื้อ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าจริงแท้แค่ไหนเพราะไม่เคยถามจากปากพ่อ แต่ที่สามารถทำให้เราเข้าใจได้คือพ่อต้องส่งลูกทั้งหมด 3 คนเรียนหนังสือและให้ความสุขสบาย อีกทั้งพ่อยังต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เพียงลำพังหลังจากแยกทางกับแม่ พ่อออกมาแต่มอบสมบัติให้แก่แม่
หากแต่ปัญหาช่วงเป็นวัยรุ่นและความไม่เข้าใจทำให้เราและพ่อ รวมถึงพี่ชายถอยห่างออกมาจากกันและกัน พ่อมีความคิดแบบผู้นำที่ถูกกดดันจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ส่วนตัวเราก็คิดแบบเด็กวัยรุ่นที่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ ความคิดพ่อดูล้าหลังแต่พ่อกลับมองว่าพ่อผ่านอะไรมาเยอะกว่าลูกไม่มีสิทธิมาข่มด้วยความคิดนี้ เมื่อต้องเจอทัศนคติเหล่านี้ จึงทำให้เราซึ่งเหมือนกับลูอิสและมิกูเอลที่พยายามวางแผนหักหลังพ่อด้วยการพยายามหนีจากเมืองบ้านเกิด
ไม่ว่าฆวน ซัลบัตเตียร่า (พ่อ) จะผ่านอะไรหรือทำผิดอะไรมาก็ตาม มันทำให้เราสงบลง
หลังจากสองพี่น้องลูอิสและมิกูเอลพยายามตามหาผ้าใบที่หายไปของพ่อในช่วงปี 1961 ทำให้เขาได้พบกับความจริงบางอย่างเกี่ยวกับพ่อของเขาซึ่งมันสะเทือนอารมณ์ทำให้ความรู้สึกศรัทธาบางอย่างที่มีต่อพ่อหายไป แต่ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พ่อถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลปะผืนผ้าใบยาวทำให้เขาสงบลง เรื่องขมขืนถูกกลืนหายไปและเก็บซ่อนเอาไว้ในความทรงจำ กับบางเรื่องไม่ควรรื้อฟื้นออกมาอย่างที่ลูอิสได้กล่าวเอาไว้ในเรื่อง
ไม่ว่าในอดีตเราจะเคยเจ็บปวดมากแค่ไหน ซึ่งล้วนเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกัน ความไม่กล้าที่จะพูดคุย และนั่นคือสิ่งที่ผิดอย่างแท้จริง ถ้าในช่วงเวลานั้นเราเปิดใจมองและใจเย็นลง ช่องวางระยะห่างของกันและกันคงลดน้อยลงหรือแทบจะกลายเป็นศูนย์
ท้ายนี้อยากขอบคุณการเสียดสีและการกระแทกอารมณ์ผ่านความเรื่อยๆเฉื่อยๆของการเดินเรื่องไปสู่จุดพลิกผันของเรื่อง สำหรับเราแล้วฉากสะเทือนอารมณ์สูงสุดไม่ใช่ตอนไฟไหม้กระท่อม แต่เป็นตอนที่มิกูเอลตัดสินใจถามอีบาเญซเรื่องพ่อของเขาคำตอบคือ
"รู้แค่แกเป็นคนใบ้น่ะครับ"
แทนประโยคนี้ในความจริงของชีวิตเรา มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่สะเทือนใจไม่แพ้กัน และเรื่องนั้นก็เก็บซ่อนอยู่ภายในใจของเรา แน่นอนว่าถูกของลูอิส เรื่องบางอย่างปล่อยผ่านไปดีที่สุด อย่ารื้อฟื้น มันไม่ใช่ความลับ เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรหยิบขึ้นมาอีก
เขียน : LIU TEJA
#บทความ
Contact
: https://storylog.co/Liuteja
: liew.12829@gmail.com